tag:blogger.com,1999:blog-17969994861294761702024-02-21T03:31:50.003-08:00THE KINGศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-79220185852603710662008-01-05T23:21:00.000-08:002008-12-10T19:48:20.101-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxNJEpxdk4n_CxducNHyUIYkW5HEkP3T3hjSTh5wU9kpNIyx8V2XPXQO5iKNRFBCgUy2Huh8hqiza1Pmlv55SvzwBp0YJj9EGpMYnlmub6w14IooH5nyp5RQevvGrfz7AbPKqCCCx8d6hI/s1600-h/10.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152261591349568450" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxNJEpxdk4n_CxducNHyUIYkW5HEkP3T3hjSTh5wU9kpNIyx8V2XPXQO5iKNRFBCgUy2Huh8hqiza1Pmlv55SvzwBp0YJj9EGpMYnlmub6w14IooH5nyp5RQevvGrfz7AbPKqCCCx8d6hI/s320/10.JPG" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhavSo1uguOfmKNt0CHxGQv8kbDe9Sq8HJb6mGrEeV0LV1jDZ18ZmMdDqCeju1YSQe2znQzArDPcI9xHfrq3QvXP7fdz6jB1-2-kMCpUvG-u-4HtpLAirTe8AmlEAZmz4ys7mfxH5fL6JP2/s1600-h/9.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152261282111923122" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhavSo1uguOfmKNt0CHxGQv8kbDe9Sq8HJb6mGrEeV0LV1jDZ18ZmMdDqCeju1YSQe2znQzArDPcI9xHfrq3QvXP7fdz6jB1-2-kMCpUvG-u-4HtpLAirTe8AmlEAZmz4ys7mfxH5fL6JP2/s320/9.JPG" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="color:#009900;">พระครูวิทิตวรเวช เจ้าอาวาสวัดท่าราบ อำเภอบางแพ และเจ้าคณะตำบลบางแพหัวโพ ท่านเป็นผู้มีภูมิความรู้ด้านการอนุรักษ์ยาสมุนไพรแบบโบราณ รอบกุฏิและวัดล้วนเต็มไปด้วยต้นสมุนไพรที่ใคร ๆ สามารถมาศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ ท่านได้ปลูกสมุนไพรไม้น้อยกว่า ๓๐๐ ชนิด ศึกษาพืชสมุนไพรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติพร้อมเปิดตำราดูสรรพคุณแต่ละชนิด แล้วเริ่มรักษาโรคให้ประชาชนอย่างง่าย ๆ ก่อน เช่น เป็นแผล ฝี ปวดท้อง ต่อมทอลซิลอักเสบ ฯลฯ </span><a href="http://1.bp.blogspot.com/_MxN3fMSbVx8/R2zDY9gbdtI/AAAAAAAAB0I/Q5inHVwZxE0/s1600-h/lemon2.jpg"></a><span style="color:#009900;">ต่อมาท่านพบว่ายาสมุนไพรยังสามารถรักษาโรคได้อีกหลายอย่างจากตำรายาแพทย์แผยโบราณ ท่านจึงรับรักษาโรคโดยไม่คิดค่ารักษาแต่อย่างใด นับว่าท่านเป็นนักภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีความสามารถเด่น และเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง โรคที่สามารถรักษาให้หายได้ร้อยละ ๙๐ ได้แก่ โรคหือ - หอบ โรคไซนัส โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคกาฬ โรคประโดง โรคต่อมลูกหมากอักเสบ โรคตับ - ท้องมาน เป็นต้น นอกจากการรับรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรแล้ว ท่านยังได้จัดพิมพ์หนังสือยาสมุนไพรแจกให้กับประชาชนที่มาทำบุญที่วัดท่าราบทุกปี ๆ ละ ๒๐,๐๐๐ เล่ม เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกล โดยท่านทำมาแล้วเป็นเวลากว่า ๑๓ ปี และปัจจุบันวัดท่าราบยังเป็นที่ตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณใ</span><a href="http://2.bp.blogspot.com/_MxN3fMSbVx8/R2zDmNgbdvI/AAAAAAAAB0Y/BSVSzJF2OWY/s1600-h/herb8_8.jpg"></a><span style="color:#009900;">นชนบท และชมรมอนุรักษ์สมุนไพร โดยท่านเป็นผู้อำนวยการและประธานชมรม ด้วยประสบการณ์ของท่าน ท่านจึงได้รับเกียรติให้เขียนตอบปัญหายาในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น คอลัมน์ยากลางบ้าน หนังสือพิมพ์มติชน คอลัมน์ตอบปัญหายาสมุนไพร หนังสือพิมพ์ไทยเดลี คอลัมน์สารพันปัญหาว่าด้วยการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรและว่าน นิตยสาร ม.ส.ท.มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ของวัดสุทัศนเทพวราราม นิตยสารทางเดินของเปรียญธรรมสมาคม วัดสามพระยา บางขุนพรหม กรุงเพทฯ คอลัมน์สารพันปัญหารักษาโรคด้วยยาสมุนไพร นิตยสารเปรียญธรรมสมาคม และคอลัมน์ปัญหาว่าด้วยการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร หนังสือพิมพ์ภูมิภาค ก้าวหน้า พระครูวิทิตวรเวชได้รับการเชิดชูเกียรติให้เป็นนักอนุรักษ์สมุนไพรคนสำคัญในวงการแพทย์แผนโบราณ กล่าวคือ ได้รับพระราชทานโล่เป็นเกียรติในฐานะสนับสนุนหลักสูตรพิเศษโครงการพระราชดำริสวนป่าสมุนไพร ได้รับวุฒิบัตรในการอบรมวิทยากรโครงการตามพระราชดำริสวนป่าสมุนไพร ได้รับเกียรติบัตรในการเสียสละไปเป็นครูสอนปริยัติธรรม ได้รับเข็มเครื่องหมายมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในการเสียสละเวลาเขียนแนะนำ ยาสมุนไพรในนิตยสาร ม.ส.ท. โดยไม่คิดค่าเขียน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึงปัจจุบันทุกเดือน เป็นเข็มทองลงยาประดับเพชร และได้รับเกียรติบัตรของกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทย</span></div></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-31889121288494157152008-01-05T23:09:00.000-08:002008-12-10T19:48:20.440-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgW7Gdq4XgwQQD3WLQDNApeUl0aqL__rFBqpx5QnuF2CZ3BMDQPrb9EDbCvpPBlgYCqXmlaodKVJSegsokqiM148Peao8q9tIDkYUTtDyLlxi9gBNPsB6ffPl1KgG9dxK_5w_O2k-TYr-eG/s1600-h/8.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152259997916701602" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgW7Gdq4XgwQQD3WLQDNApeUl0aqL__rFBqpx5QnuF2CZ3BMDQPrb9EDbCvpPBlgYCqXmlaodKVJSegsokqiM148Peao8q9tIDkYUTtDyLlxi9gBNPsB6ffPl1KgG9dxK_5w_O2k-TYr-eG/s320/8.JPG" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPjqzWk-MtI9vli8w9EIT0f_mpq-ncqqgJsNNqtw202B9GDSfDyclegsBzgmjXEzrYnXw-RApPI04p1IsgNrF-G8rfhli589buAKKyJCR6y4qefBEywYnqBX_Q7ZhYlTknBWJSXZC6cWBG/s1600-h/7.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152259469635724178" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPjqzWk-MtI9vli8w9EIT0f_mpq-ncqqgJsNNqtw202B9GDSfDyclegsBzgmjXEzrYnXw-RApPI04p1IsgNrF-G8rfhli589buAKKyJCR6y4qefBEywYnqBX_Q7ZhYlTknBWJSXZC6cWBG/s320/7.JPG" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="color:#ff9966;">การทอผ้าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ที่คนไทยรุ่นปัจจุบันต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้ในสมัยก่อน ผู้หญิงไทยจะทำเครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านเอง งานสำคัญอย่างหนึ่งคือการทำเสื้อผ้า ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ไว้ใช้กันในครอบครัว ในพิธีกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการเกิด การบวช การแต่งงาน การตาย ก็ต้องใช้ผ้า ผ้าทอจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตคนไทย กรรมวิธีและเทคนิคในการทอผ้าให้เกิดลวดลายต่างๆ เป็นเทคนิคและ ความสามารถของแต่ละคน<br />หลักใหญ่ของการทอผ้าก็คือ การนำเส้นฝ้ายหรือไหมมาขัดกันให้เป็นลาย โดยขึงเส้นกลุ่มหนึ่งเป็นหลัก เรียกว่า เส้นยืน แล้วใช้อีกเส้นหนึ่ง เรียกว่าเส้นพุ่ง สอดตามขวางของเส้นยืน เมื่อสานขัดกันก็จะเกิดลวดลายต่างๆ ผ้าบางชนิด ผู้ทอจะคิดหาวิธีสอดด้ายและสอดสีสลับกัน บางวิธีก็จะจับผูกและมัดเน้นเป็นช่วงๆ หรืออาจจะยกด้ายที่ทอเป็นระยะๆ ทำให้เกิดลวดลายสวยงาม ผู้ทอต้องสามารถจดจำลวดลายที่ตนคิดประดิษฐ์ได้ ถึงแม้แต่ละลวดลายจะมีความซับซ้อนและหลากหลาย แต่เขาก็สามารถนำมาประสานกันได้อย่างเหมาะเจาะ งดงามแสดงถึงภูมิปัญญาและความสามารถของชาวชนบทเป็นอย่างดี ผ้าทอมือจึงมีเทคนิคการทอและควาสวยงามเป็นที่สุด ผ้าทอของชาวบ้านมีรูปแบบ ระเบียบลาย ที่บ่งชี้ถึงกลุ่มของคนไทยสายต่างๆ ได้ ผ้าซิ่นที่นุ่ง ก็มีการทอให้แตกต่างกัน สามารถบอกได้ว่า หญิงคนใดยังเป็นโสดและหญิงคนใดแต่งงานแล้ว ผ้าซิ่นของหญิงมีสามีจะเป็นซิ่นที่นำผ้าสามชิ้นมาต่อกัน แบ่งเป็นส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนเชิงแต่ละส่วนจะทอเป็นลวดลายแตกต่างกันทั้ง 3 ส่วน ผ้าซิ่นของหญิงสาวจะเป็นผ้าผืนเดียวกันตลอดทั้งผืน อาจใช้วิธีมัดหมี่เป็นดอกเป็นลวดลายอย่างเดียวสวยงามมาก ชายผ้าซิ่นแทบทุกผืนจะมีวิธีทำลวดลายแปลกๆ เช่น อาจจะจกไหมสลับกับฝ้ายในรูปแบบของการทอผสมปักกลายๆ แต่แทนที่จะใช้เข็มปัก เขาจะใช้ขนเม่นทำลวดลาย วิธีนี้เรียกว่า จก แต่ละบ้านจะมีลวดลายของตน ผ้าตีนจกที่นิยมกันมากคือ ผ้าตีนจกของหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย เป็นศิลปะพื้นบ้านลวดลายสวย สีงาม งานประณีต นอกจากผ้ามัดหมี่ ผ้าจกแล้ว ยังมีผ้าแพรวาซึ่งใช้เป็นผ้าคลุมไหล่ หรือห่มเฉียงไหล่ ผ้าขิตซึ่งมีลวดลายเป็น </span><a href="http://student.swu.ac.th/hm471010393/cgi-bin/show2.cgi/kp6/BOOK21/pictures/l21-105-3"></a><span style="color:#ff9966;">แนวเดียวกันตลอด นิยมใช้ทำหมอน ผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง ผ้ายกดอก<br />เป็นศิลปะการทออีกแบบหนึ่งคล้ายกับผ้าขิตแต่จะทอด้วยไหมทั้งผืน และยกดิ้นเงินหรือดิ้นทอง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อเสียงในการทอผ้ายก เรียกว่า ผ้ายกเมืองนคร ผ้าพื้นและผ้าอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นผ้าที่ทอใช้กันทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า เป็นส้นขัดตาตารางหรือเป็นลายเส้นธรรมดา วัตถุดิบที่ใช้ในการทอผ้า วัตถุดิบ ที่นิยมนำมาใช้ทอผ้า ได้แก่ ไหม ฝ้าย และขนสัตว์นั้น นักวิชาการเชื่อกันว่า มีกำเนิดจากดินแดนอื่นนอกประเทศไทย ไหมนั้นเชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วนำไปเผยแพร่ในญี่ปุ่น อินเดีย รวมทั้งดินแดนต่างๆ ในเอเชีย และยุโรป ส่วนฝ้ายเชื่อกันว่าอาจมาจากอาหรับและเผยแพร่เข้ามาใช้กัน อย่างกว้างขวางในอินเดียก่อน จึงเข้ามาในแถบประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงภายหลัง จนกลายเป็นพืชพื้นเมืองในแถบนี้ไป สำหรับขนสัตว์เป็นวัสดุที่เหมาะกับอากาศหนาว เชื่อกันว่านำมาใช้ทำผ้าในยุโรปตอนเหนือก่อน แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ดินแดนอื่นๆการทอผ้าแบบพื้นบ้าน พื้นเมืองใภูมิภาคต่างๆในปัจจุบันการทอผ้าพื้นบ้านพื้นเมืองหลายแห่งยังทอลวดลาย สัญลักษณ์ดั้งเดิม โดยเฉพาะในชุมชนที่มีเชื้อสายชาติพันธุ์บางกลุ่มที่กระจายตัวกันอยู่ในภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ศิลปะการทอผ้าของกลุ่มชนเหล่านี้จึงนับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มอยู่จนถึงทุกวันนี้ หากจะแบ่งผ้าพื้นเมืองของกลุ่มชนเหล่านี้ตามภาคต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ก็อาจจะแบ่งคร่าว ๆ ได้ดังนี้<br />๑. การทอผ้าในภาคเหนือแถบล้านนาไทย<br />๒. การทอผ้าในภาคกลาง ในภาคกลางตอนบน<br />๓. การทอผ้าในภาคอีสาน<br />๔. การทอผ้าในภาคใต้<br />ลวดลายและสัญลักษณ์ในผ้าไทยเป็นอย่างไร ผ้าพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยที่ทอกันตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ผ้าในยุคปัจจุบันอาจไม่เข้าใจความหมายและมองไม่เห็นคุณค่า ลวดลายและสัญลักษณ์เหล่านี้ บางลายก็มีชื่อเรียกสืบต่อกันมาหลายชั่วคน บางชื่อก็เป็นภาษาท้องถิ่นไม่เป็นที่เข้าใจของรนไทยในภาคอื่น ๆ เช่น ลายเอี้ย ลายบักจัน ฯลฯ บางชื่อก็เรียกกันมาโดยไม่รู้ประวัติ เช่น ลายแมงมุม ลายปลาหมึก ซึ่งแม้แต่ผู้ทอก็อธิบายไม่ได้ ว่าทำไมจึงเรียกชื่อนั้น บางลวดลายก็มีผู้ตั้งชื่อให้ใหม่ เช่นลาย "ขอพระเทพ" เป็นต้น สัญลักษณ์และลวดลายบางอย่างก็เชื่อมโยงกับคติและความเชื่อของคนไทยพื้นบ้านที่นับถือสืบต่อกันมาหลาย ๆ ชั่วอายุคน และยังสามารถเชื่อมโยงกับลวดลายที่ปรากฏอยู่ในศิลปะอื่น ๆ เช่น บนจิตรกรรมฝาผนัง และสถาปัตยกรรม หรือบางทีก็มีกล่าวถึงใน ตำนานพื้นบ้าน และในวรรณคดี เป็นต้น<br />บางลวดลายก็เป็นคติร่วมกับความเชื่อสากลและปรากฏอยู่ในศิลปะของหลายชาติ เช่น ลายขอหรือลายก้นหอย เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นลายเก่าแก่แต่โบราณของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก หากเรารู้จักสังเกตและศึกษาเปรียบเทียบแล้วก็จะเข้าใจลวดลายและสัญลักษณ์ในผ้าพื้นเมืองของไทยได้มากขึ้น และมองเห็นคุณค่าได้ลึกซึ้งขึ้น ลวดลายต้นแบบ สามารถแบ่งเป็น ๔ ประเภท ได้แก่<br />๑. ลายเส้นตรง หรือเส้นขาด<br />๒. ลายฟันปลา<br />๓. ลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือลายกากบาท<br />๔. ลายขดเป็นวงเหมือนก้นหอย หรือตะขอ<br />ลวดลายที่เชื่อมโยงกับความเชื่อพื้นบ้านอย่างเห็นได้ชัดมีอะไรบ้าง<br />ลวดลายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในศิลปะผ้าทอไทยนั้นเชื่อกันว่ามีความเชื่อมโยงกับคติความเชื่อของคนไทยที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เราอาจศึกษาเปรียบเทียบลวดลายสัญลักษณ์เหล่านี้กับสัญลักษณ์อย่างเดียวกันที่ปรากฏอยู่ในศิลปะประเภทอื่น ๆ เช่น ในจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และแม้แต่ในตำนานพื้นบ้านที่เล่าขานสืบต่อกันมา หรือในวรรณกรรมต่าง ๆ ลวดลายที่เชื่อมโยงกับความเชื่อพื้นบ้านไทยอย่างเห็นได้ชัด มีดังนี้<br />สัญลักษณ์งูหรือนาค งูหรือนาคปรากฏอยู่ในลายผ้าพื้นเมืองของคนไทยกลุ่มต่างๆ เกือบทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะในล้านนาและในอีสาน นอกจากนี้ยังพบในศิลปะของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท ที่อาศัยอยู่นอกดินแดนของไทยในปัจจุบัน เช่น ในสิบสองปันนา ในลาว อีกด้วย<br />ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง คนไทยและคนลาวต่างมีความเชื่อสืบทอดกันมา เรื่องพญานาค ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขง จนกระทั่ง ทุกวันนี้ผู้คนในแถบนั้นก็ยังเชื่อว่าเวลามีงานบุญประเพณี เช่น งานไหลเรือไฟ พญานาคก็จะขึ้นมาเล่นลูกไฟด้วย ดังที่มีผู้เห็นลูกไฟขึ้น จากลำน้ำในช่วงเทศกาลงานไหลเรือไฟเป็นประจำเกือบทุกปี<br />สัญลักษณ์นกหรือห่านหรือหงส์ นกหรือหงส์เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ปรากฏอยู่ในศิลปะผ้าทอพื้นบ้านในภาคเหนือของไทยเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็มีปรากฏมากในผ้าทอมือของลาวสิบสองปันนา และในหมู่พวกคนไทในเวียดนาม ในสถาปัตยกรรมล้านนาและล้านช้างจะพบนกหรือหงส์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประดับอยู่บนหลังคาโบสถ์ คู่กับสัญลักษณ์นาค หรือบางแห่งก็มีแต่หงส์ประดับอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในวัดในสิบสองปันนา สัญลักษณ์นกหรือหงส์หรือนกยูง จะปรากฏอยู่ทั่วไปทั้งในจิตรกรรม สถาปัตยกรรม และบนผืนผ้า นกยูงเป็นสัญลักษณ์ที่ รัฐบาลจีนปัจจุบัน ได้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของยูนาน และได้มีการประดิษฐ์นาฏลีลาสมัยใหม่ซึ่งใช้แสดงเป็นสัญลักษณ์ของชาวไทลื้อในสิบสอบปันนา เรียกว่า ระบำนกยูง การทอลายขิต คือการคัดเก็บยกเส้นด้ายยืนพิเศษ ให้เกิดเป็นลวดลาย แล้วสอดเส้นด้ายพุ่งไปตลอดแนวของความกว้างของหน้าผ้า ทำให้เกิดลายขิตในแต่ละแถวเป็นลายขิตสีเดียวกัน การยก เป็นเทคนิคการทอยกลายให้เห็นเด่นชัด มีลักษณะคล้ายกับการทอลายขิต แต่ใช้เส้นพุ่งพิเศษ เช่น ไหม ดิ้นเงิน ดิ้นทอง มีชายมีเชิง ซึ่งขั้นตอนยุ่งยากกว่าผ้าทอลายขิตมาก การจก เป็นเทคนิคการทอลวดลายบนผืนผ้า ด้วยวิธีการเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษเข้าไปขณะที่ทอเป็นช่วง ๆ ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้ากระทำโดยใช้ไม้หรือขนเม่นหรือนิ้วมือ ยกหรือจกด้วยเส้นยืนขึ้น แล้วสอดเส้นพุ่งพิเศษต่อไปตามจังหวะของลวดลาย สามารถสลับสีได้หลากหลายสี การทอลายน้ำไหล เป็นเทคนิคการทอแบบลายขัดธรรมดา แต่ใช้ด้ายหลากสีพุ่งเกาะเกี่ยวกันเป็นช่วง ๆ ให้เกิดจังหวะของลายน้ำไหล เป็นลักษณะเฉพาะของชาวเมืองน่าน เรียกกรรมวิธีการทอนี้ว่า "ล้วง" แต่ชาวไทลื้อ อำเภอเชียงของ และเชียงคำ จังหวัดเชียงราย เรียกว่า "เกาะ" เทคนิคนี้อาจดัดแปลงพัฒนาเป็นลายอื่น ๆ เรียกว่าลายผักแว่น ลายจรวด ฯลฯ เป็นต้น การยกมุก เป็นเทคนิคการทอ โดยใช้เส้นยืนพิเศษเพิ่มบนกี่ทอผ้าลายยกบนผ้าเกิดจากการใช้ตะกอลอยยกด้ายยืนพิเศษ ลวดลายที่เกิดจากเทคนิคนี้คล้ายกันมากกับลวดลายที่เกิดจากเทคนิค ขิต จก แทบจะแยกไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องเทคนิคการทอผ้าที่ลึกซึ้ง ชาวไทยพวนที่ตำบลหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย และที่ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้เทคนิคนี้ในการทอส่วนที่เป็นตัวซิ่น บางครั้งอาจจะนำเชิงซิ่นมาต่อเป็นตีนจกเรียกว่า ซิ่นมุก การมัดหมี่ เป็นเทคนิคการมัดเส้นพุ่งหรือเส้นยืน ให้เป็นลวดลายด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกฟางก่อนนำไปย้อมสี แล้วกรอด้ายให้เรียงตามลวดลาย ร้อยใส่เชือกแล้วนำมาทอ จะได้ลายมัดหมี่ที่เป็นทางกว้างของผ้า เรียกว่า มัดหมี่ เส้นพุ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมในบ้านเรา มีการทำผ้ามัดหมี่เส้นยืนบ้างในบางจังหวัดเช่นจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนใหญ่เป็นผ้าชาวเขา บางผืนใช้การทอสลับกับลายขิต ซึ่งช่วยเพิ่มความวิจิตรงดงามให้แก่ผืนผ้า<br />ปัญหาในการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะผ้าไทยมีอะไรบ้าง<br />ศิลปะผ้าทอไทยอันมีประวัติยาวนานและมีความมั่งคั่งหลากหลาย ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณจนทุกวันนี้ ตกอยู่ในมือของคนรุ่นเราและรุ่นหลังจะรักษาต่อไป หน่วยงานหลาย ๆ หน่วยงานทั้งของรัฐบาลและเอกชนต่างก็ช่วยกันดำเนินการรับสนองพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในเรื่องการศึกษา ส่งเสริมและพัฒนาศิลปะผ้าทอของไทย อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้มีการศึกษา สำรวจปัญหาต่าง ๆ พบว่ายังมีปัญหาในการส่งเสริมและพัฒนาศิลปะการทอผ้าไทยอยู่ดังนี้<br />๑. ศิลปหัตถกรรมในหลาย ๆ ท้องถิ่นยังถูกละเลย การผลิตศิลปหัตถกรรมกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปไม่มีแหล่งรวมในบางท้องถิ่น<br />๒. ขาดการกระตุ้นหรือประกวดให้ผลิตผลงานที่มีคุณภาพมาก ๆ ขึ้น<br />๓. ผู้มีฝีมือเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอย่างอื่น<br />๔. ไม่รักษาคุณภาพให้สม่ำเสมอ เมื่อผ้าทอมือขายดีจะผลิตผ้าที่ด้อยฝีมือมาขายแทน ช่างทอก็มีคุณภาพด้อยลง และมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ<br />๕. ช่างฝีมือคุณภาพดีมักทำงานได้ช้าขายยาก เพราะต้องขายราคาแพงให้คุ้มกับเวลา หมดกำลังใจ ขาดการส่งเสริม ช่างทอฝีมือดี หลายคนยังไม่มีคนรู้จักและเห็นคุณค่า<br />๖. ช่างฝีมือขาดการแข่งขันทางความคิด<br />๗. การถ่ายทอดทำกันในวงจำกัด ขาดตัวผู้สืบทอดอย่างจริงจังและกว้างขวาง<br /></span></div></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-19218914623021767972008-01-05T23:04:00.000-08:002008-12-10T19:48:20.617-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5mQnuGhCpye9PpYtMhTyPR_jMf-om6q0NDgc2O8NiPar3bVwbXAK7b7N4oaY-o76mVtiOOGjVzA0TJMGwoQTgKiVtq-cJZ3O8wU3Ur8a_QLQcxsUYF0MNTIHfItxlxSkdT4rv7prTK82W/s1600-h/6.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152257068749005698" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5mQnuGhCpye9PpYtMhTyPR_jMf-om6q0NDgc2O8NiPar3bVwbXAK7b7N4oaY-o76mVtiOOGjVzA0TJMGwoQTgKiVtq-cJZ3O8wU3Ur8a_QLQcxsUYF0MNTIHfItxlxSkdT4rv7prTK82W/s320/6.JPG" border="0" /></a><br /><div><br /><span style="color:#006600;">โอ่งมังกร"ราชบุรี"ยังคงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือเหลือแค่ตำนาน<br />"โอ่งมังกร"สัญญาลักษณ์โดดเด่นอย่างหนึ่งของชาวจังหวัดราชบุรี ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น หรืออุตสาหกรรมพื้นบ้านที่คนราชบุรีภาคภูมิใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคำขวัญ"เมืองโอ่งมังกร"<br />ตั้งแต่ตอนเราเด็กๆยังจำได้ว่า มีโอ่งมังกรไว้รองรับน้ำฝนกันทุกบ้าน บางบ้านใช้ใบเล็กเก็บข้าวสาร เป็นไหน้ำปลา หรือไหดองผัก ถือเป็นภาชนะหลักในการเก็บน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม หรือน้ำใช้ ในห้องน้ำบ้านเราเราก็มีโอ่งน้ำไว้ตักอาบ ยังไม่มีฝักบัว หรือถังพลาสติกเหมือนในปัจจุบัน<br />"โอ่งมังกร"อุตสาหกรรมพื้นบ้านที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดราชบุรี<br />จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านว่าสมัยก่อนโอ่งที่ใช้กักเก็บน้ำชั้นดี ต้องนำเข้ามาจากประเทศจีนทั้งนั้น แต่เนื่อจากภาวะสงครามโลกคร้งที่ 2 เป็นต้นมา สินค้าจากต่างประเทศหลายอย่างไม่สามารถนำเข้าประเทศได้จึงจำเป็นต้องผลิตกันเอง<br />และถ้าย้อนอดีต จากคำบอกเล่าของลูกหลาน ทายาทเจ้าของโรงโอ่ง ตั้งแต่ พ.ศ.2476 นายซ่งฮง แซ่เตีย และนายจือเหม็ง แซ่อึ้ง สองสหายที่เคยทำเครื่องปั้นดินเผาที่เมืองป้งโคย ประเทศจีน อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ได้มาพบแหล่งดิน ที่จ.ราชบุรี และเห็นว่าเป็นดินที่ใช้ในการปั้นโอ่งได้ จึงเป็นที่มาของโรงโอ่ง"เถ้าแซไถ่" และโรงโอ่ง"เถ้าฮงไถ่"ผลิตโอ่งลายมังกรในเวลาต่อมา<br />"โอ่งราชบุรี ทำไมต้องมีลายมังกร"<br />แต่เดิมที่ทำกันเป็นโอ่งที่ไม่มีลวดลายใดๆ เรียกว่า "โอ่งเลี่ยน" จากการที่ต้นกำเนิดโอ่งมาจากชายจีน 2 ท่านดังกล่าว เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วลูกหลานจึงได้คัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคลขึ้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้ใช้ นอกเหนือจากการพัฒนาคิดหาความงดงามเพียงอย่างเดียว แน่นอน ในที่สุดก็เลือกสรรลวดลาย"มังกร"ขึ้น ตามคติความเชื่อในวัฒนธรรมของจีน<br />มังกร(Dragon) เป็นสัตว์ชั้นสูง ในแต่ละประเทศก็จะมีตำนานของตัวเอง แล้วแต่ความเชื่อบ้านเราเรียกว่า "พญานาค" จะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างก็คงเป็นที่รูปร่าง หน้าตา ชื่อ และความเชื่อ มีหนังสือตำราพิชัยสงครามกล่าวถึง มังกร ในการจัดขบวนทัพข้ามน้ำเรียกว่า "มังกรพยุหะ" มีการเขียนรูปมังกร คล้ายพญานาค เพียงแต่เพิ่มเขาและเท้าเข้าไป บางตัวมีเกล็ด บางตัวมีลายแบบงู<br />จีนแบ่งมังกรออกเป็น 3 ชนิด คือ<br />1.หลง เป็นพวกที่มีอำนาจมากที่สุด ชอบอยู่บนฟ้า<br />2.หลี เป็นพวกไม่มีเขา ชอบอยู่ในมหาสมุทร<br />3.เจียว เป็นพวกมีเกล็ด อยู่ตามแม่น้ำ ลุ่มหนอง คลองหรือถ้ำมังกรของจีน จัดให้มีระดับ และหน้าที่แตกต่างกันไปด้วย คือ<br />1. มังกรฟ้า หรือ มังกรสวรรค์ (เทียนหลง) เป็นมังกรชั้นสูง มีหน้าที่คุ้มครอง ดูแลสวรรค์<br />2. มังกรเทพเจ้า หรือมังกรจิตวิณญาณ (เซินหลง) มีหน้าที่ทำให้เกิด ลม ฝน แก่มวลมนุษย์<br />3.มังกรพิภพ (ตี้หลง) มีหน้าที่กำหนดเส้นทาง ดูแล แม่น้ำ ลำธาร ห้วยหนอง คลองบึง<br />4.มังกรเฝ้าทรัพย์ (ฝู ซาง หลง) มีหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ของแผ่นดินลักษณะของมังกร<br />โดยทั่วไปในลวดลายของโอ่งลายมังกร จะมีเพียง 3 เล็บ หรือ 4 เล็บ แต่ถ้าเป็นมังกร สัญญลักษณ์ชั้นสูง ของกษัตริย์ หรือ ฮองเต้ จะมี 5 เล็บ<br />เมื่อกล่าวถึง"มังกร"ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เป็นมงคล เป็นความยิ่งใหญ่ จึงได้มีการวาดโอ่งลวดลายมังกร เพื่อเป็นศิริมงคล ความชื่นชมชื่นชอบของผู้ใช้<br />แต่ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดาย โลกเปลี่ยนแปลงไป ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั้น นำความเจริญของวัตถุนิยม ทุนนิยม ความไม่สะดวก หรือ จะเชยล้าสมัย ตามคำกล่าวอ้างจะมีซักกี่บ้านกี่เรือนในปัจจุบันที่ยังนิยมใช้โอ่งลายมังกร ไว้เป็นภาชนะเก็บกักน้ำ แม้ว่าลูกหลาน ทายาทของผู้เฒ่าจีนเหล่านั้นยามเปลี่ยนแปลง พัฒนา รูปแบบ จากดินเผา เป็นเซรามิคซึ่งยังคงลวดลายมังกรที่ยิ่งใหญ่เพื่อความอยู่รอดของโรงงานตามแนวบรรพบุรุษ<br /></span></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-51710427611224275792008-01-05T22:49:00.000-08:002008-12-10T19:48:20.704-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSGC-mZ6MC4NUPObHAWqWFHw95Gk_MpjHJUUdgJMq19NmYaMlVy-jOS838QzLCNeoUFcR728O4R8bXVSr1CVJzeBomNQMj-eYWEIDhIpDx-2N2ceXt9vrQob6AkaE67_Vlqk6v54rtAxxU/s1600-h/5.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152253237638177650" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSGC-mZ6MC4NUPObHAWqWFHw95Gk_MpjHJUUdgJMq19NmYaMlVy-jOS838QzLCNeoUFcR728O4R8bXVSr1CVJzeBomNQMj-eYWEIDhIpDx-2N2ceXt9vrQob6AkaE67_Vlqk6v54rtAxxU/s320/5.JPG" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#cc33cc;">๑“ไบโอดีเซล” จากปาล์มประกอบอาหารสู่เชื้อเพลิงเครื่องยนต์</span><br /><br /><span style="color:#cc9933;">ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนผ่านโครงการส่วนพระองค์มาตั้งแต่ปี 2522 โดยมีโครงการผลิตแก๊สชีวภาพ เอทานอล แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลจากปาล์ม ซึ่งในส่วนของพระราชดำริด้านการพัฒนาน้ำมันปาล์มเพื่อใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลนั้น การพัฒนาไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มในชื่อ “การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล” ได้จดสิทธิบัตรที่กระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2544<br />อีกทั้งในปี 2546 ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลจาก “โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม” ในงาน “บรัสเซลส์ ยูเรกา” ซึ่งเป็นงานแสดงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของโลกวิทยาศาสตร์ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ทั้งนี้ปาล์มเป็นพืชที่ให้ปริมาณน้ำมันต่อพื้นที่ปลูกสูง อีกทั้งเกษตรกรสามารถผลิตใช้เองได้ภายในประเทศ ซึ่งจะใช้ทดแทนการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศได้</span></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-69574348726992602282008-01-05T22:38:00.000-08:002008-12-10T19:48:20.769-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuSuIeZiRp9tGnd8UJ8qv9AZYdtetHIce00-wXdBbcKNqvCpDBlksn_C4JqWBR2-FvLmYKlWD-rLqWaXSEOwVU6Q4oQluc0uiQp7eE5R99ZopmBBCF1UYwICS7ZYbhAR9X-PHwwF_Ul1-b/s1600-h/4.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152250944125641570" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuSuIeZiRp9tGnd8UJ8qv9AZYdtetHIce00-wXdBbcKNqvCpDBlksn_C4JqWBR2-FvLmYKlWD-rLqWaXSEOwVU6Q4oQluc0uiQp7eE5R99ZopmBBCF1UYwICS7ZYbhAR9X-PHwwF_Ul1-b/s320/4.JPG" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#cc33cc;">๒.</span><a name="#top"><span style="color:#cc33cc;">โครงการพัฒนาตามแนวพระราชดำริจังหวัดแม่ฮ่องสอน</span></a><span style="color:#cc33cc;"><br /></span><br /><span style="color:#cc9933;">เป็นการขยายผลจากแนวพระราชดำริเป็นรูปธรรม จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็น จังหวัดชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุด ของประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า และภูเขา ไกลออกไปจากตัวจังหวัดประมาณ 60 กิโลเมตร บนที่ราบสูงกว้างใหญ่ ปก คลุมไปด้วยป่าธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ มีการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งกรมป่าไม้ได้สนองพระราชดำริ โดยจัดตั้งเป็น โครงการ พัฒนาตามแนวพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอน โครงการดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรม 5 อย่าง ได้แก่<br />- กิจกรรมปลูกสร้างสวนป่าตามโครงการพระราชดำริปางตอง 1 (ห้วยมะเขือส้ม)<br />- กิจกรรมสวนป่าตามโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)<br />- กิจกรรมเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าปางตอง<br />- กิจกรรมพัฒนาพื้นที่บริเวณพระตำหนักปางตอง - ท่าโป่งแดง<br />- กิจกรรมควบคุมไฟป่าปางตอง - ท่าโป่งแดง </span></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-65677463780215208752008-01-05T22:16:00.000-08:002008-12-10T19:48:20.990-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh18a9dp8yxLcc9ImMa1R1iA9aHweuHTeosHIjDBXZF93byNqjnCeoJHtwjxxphZXo_j9i5xdDa5JwNA4SI1TF7kL5UrIB_OWV4owGN17wp0JhH7oYDz3gfrexPqFfvTZXcs8wkWn8p6kG6/s1600-h/1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152246163827041074" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh18a9dp8yxLcc9ImMa1R1iA9aHweuHTeosHIjDBXZF93byNqjnCeoJHtwjxxphZXo_j9i5xdDa5JwNA4SI1TF7kL5UrIB_OWV4owGN17wp0JhH7oYDz3gfrexPqFfvTZXcs8wkWn8p6kG6/s320/1.JPG" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#993399;">๓</span><a name="#link3"><span style="color:#993399;">. พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม<br /></span><span style="color:#cc9933;">ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการสนองพระราชดำริ ในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหิน ซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคม เข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าว เป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง<br />กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริ ให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร<br /></span></a></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-71870819878937769262008-01-05T22:15:00.000-08:002008-12-10T19:48:21.214-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH8kbHnoICSrqejfqQfUZR_OemwGcQCvElRtwA2uA_tS_Eaxl01PUsUX8EY6EpFBVXE1dSCFOiboESVUaK7e54vzxU7zXW6F7RtMQeXPdRdorVp3D_Lac-mTZW2N1j2t04RCrgt0l-c6iR/s1600-h/2.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152247576871281474" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH8kbHnoICSrqejfqQfUZR_OemwGcQCvElRtwA2uA_tS_Eaxl01PUsUX8EY6EpFBVXE1dSCFOiboESVUaK7e54vzxU7zXW6F7RtMQeXPdRdorVp3D_Lac-mTZW2N1j2t04RCrgt0l-c6iR/s320/2.JPG" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#cc33cc;">๔</span><a name="#link2"><span style="color:#cc33cc;"><span style="color:#cc33cc;">. พระราชกรณียกิจด้านวิทยุกระจายเสียง</span><br /></span><span style="color:#cc9933;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่องวิทยุเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์ ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงซื้ออุปกรณ์เครื่องรับวิทยุ ซึ่งมีวางขายเลหลังราคาถูกทรงประกอบเป็นเครื่องรับวิทยุชนิดแร่ สามารถรับฟังวิทยุกระจายเสียงในยุโรปได้หลายแห่ง ต่อมาเมื่อกิจการวิทยุเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้นำหลอดวิทยุมาใช้ในเครื่องรับ-ส่งวิทยุ และเครื่องขยายเสียง และพระองค์ท่านก็ได้ทรงทดลองอุปกรณ์แบบใหม่นี้ด้วยเช่นกัน<br />เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับมา ประทับอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร ในปี พ.ศ. 2495 พระองค์ได้ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. ขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต และชื่อสถานีวิทยุดังกล่าวได้ทรงนำมาจากอักษรย่อของพระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ออกอากาศครั้งแรก ต่อมาจึงย้ายสถานีวิทยุ อ.ส. เข้าไปตั้งในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน<br />สถานีวิทยุ อ.ส. เมื่อแรกตั้งเป็นสถานีเล็กๆ มีเครื่องส่ง 2 เครื่อง ขนาดที่มีกำลังส่ง 100 วัตต์ ออกอากาศด้วยคลื่นสั้นและคลื่นยาวในระบบ AM พร้อมๆ กัน เครื่องส่งรุ่นแรกนี้เป็นเครื่องที่ กรมประชาสัมพันธ์ทูลเกล้าฯ ถวายและติดตั้งให้ด้วยเมื่อออกอากาศไปได้ระยะหนึ่ง และในระบบคลื่นสั้นก็มีจดหมายรายงานผลการรับฟัง เข้ามาจากหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมันฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกำลังส่ง โดยมีชื่อรหัสสถานีว่า HS 1 AS ในปี พ.ศ. 2525 สถานีวิทยุ อ.ส. ได้เพิ่มการส่งกระจายเสียงในระบบ FM ขึ้นอีกระบบหนึ่ง ในการขยายด้านกำลังส่งนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนแต่มีผู้โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อให้สถานีวิทยุ อ.ส. สามารถบริการประชาชนได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นสถานีวิทยุเอกชนเพียงแห่งเดียวที่สามารถกระจายเสียงคลื่นสั้นได้ ทั้งนี้เพราะถือว่าเป็นเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์<br />พระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ที่ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อเปิดโอกาสให้พสกนิกรมีช่องทางในการติดต่อกับพระองค์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตามพิธีการเหมือนในสมัยก่อน ทรงใช้สถานีวิทยุเพื่อเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ติดต่อข่าวสารกับประชาชน และเป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และประชาราษฎร์ ที่ทรงแสดงให้ทราบถึงใจรักที่พระองค์ท่านพระราชทานให้กับประชาชนทั่วทุกคน<br />นอกเหนือจากเป็นสถานีวิทยุของสื่อมวลชนเพื่อการบันเทิง และเผยแพร่ความรู้กับประชาชนแล้ว ยังได้ทำหน้าที่แจ้งข่าวสารแก่ประชาชนในโอกาสสำคัญ หรือเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ขึ้น เช่น การเกิดโรคโปลีโอระบาดในปี พ.ศ. 2495 อหิวาตกโรคในปี พ.ศ. 2501 และเมื่อเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี พ.ศ. 2505 โดยมีพระราชดำริให้ใช้สถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรม จนเป็นบ่อเกิดของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ทำหน้าที่นายสถานี เล่าให้ฟังว่า นโยบายหลักเกี่ยวกับการบริหารงานของสถานี ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ก็คือ การเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือเอกชน ได้เข้ามาสนองพระมหากรุณาธิคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของสถานีจึงเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น และทรงรับภาระต่างๆ ด้านสถานีด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้นโยบายประหยัดและใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด และในปัจจุบันนี้สถานีวิทยุ อ.ส. ยังคงกระจายเสียงเป็นประจำทุกวันเว้นวันจันทร์ โดยออกอากาศทั้งคลื่นสั้นและคลื่นยาว ในระบบ AM 1332 KHzและ FM 104 MHz ควบคู่กันไปด้วยกำลังส่ง 10 กิโลวัตต์ โดยออกอากาศวันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา 10.30-12.00 และ 16.00-19.00 วันอาทิตย์ เวลา 9.00-12.00 หยุดทุกวันจันทร์ </span></a></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-1360742915957763912008-01-05T22:11:00.000-08:002008-12-10T19:48:21.309-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3zbd9d3xSvT1R7t0e0XkkvkNUr1ljIU7bZMb_sBhHvlJrLDVCL4qxCU72GFWxW6KRLUj7Wu9OnXrUSx8-atssGJiGRrKeeTtTOIvhhhdFKb7Eb2g3fiwAUc82Y_5fsRP760dlDeD8Wrin/s1600-h/3.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5152248693562778450" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3zbd9d3xSvT1R7t0e0XkkvkNUr1ljIU7bZMb_sBhHvlJrLDVCL4qxCU72GFWxW6KRLUj7Wu9OnXrUSx8-atssGJiGRrKeeTtTOIvhhhdFKb7Eb2g3fiwAUc82Y_5fsRP760dlDeD8Wrin/s320/3.JPG" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#cc33cc;">๕</span><a name="#link1"><span style="color:#cc33cc;">. พระราชกรณียกิจด้านสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์</span><br /><span style="color:#cc9933;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยด้านการสื่อสารตั้งแต่ทรงพระเยาว์ "...ทรงทดลองต่อสายไฟพ่วงขนานกับลำโพงขยาย ของเครื่องรับวิทยุส่วนพระองค์ที่ผลิตจากประเทศสวีเดน ยี่ห้อ 'Centrum' จากห้องที่ประทับพระองค์ท่านไปยังห้องที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทั้งสองพระองค์ทรงพอพระทัยในบริการเสียงตามสายไม่น้อย..." (สุชาติ เผือกสกนธ์, วันสื่อสารแห่งชาติ : 2530)<br />พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุทิศพระองค์ พระอัจฉริยะและพระอุตสาหะทั้งมวล เพื่อราษฎรในทุกภูมิภาค พระองค์ทรงมีดำริให้มีการพัฒนาด้านระบบวิทยุสื่อสารอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือสามารถรับส่งได้ไกลยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงใช้เครื่องมือสื่อสารพกติดพระองค์ เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่เสมอ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงขาดไม่ได้คือการสดับตรับฟังข่าวทุกข์สุขของประชาชน ดังเช่น ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมราษฎรได้ทรงพบว่า มีผู้ใดที่กำลังป่วยเจ็บจำเป็นต้องบำบัดรักษา จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ผู้ตามเสด็จดูแลตรวจรักษาทันที ในบางรายที่มีอาการป่วยหนัก จำเป็นต้องส่งตัวเข้าบำบัดรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่นหรือโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครโดยเร็ว หากมีเวลาเพียงพอ พระองค์ท่านจะรับสั่งผ่านทางวิทยุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจตระเวนชายแดน ขอรับการสนับสนุนเรื่องการขนส่ง เช่น เฮลิคอปเตอร์ เพื่อนำผู้ป่วยเจ็บส่งยังที่หมายปลายทางด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำระบบสื่อสารแบบถ่ายทอดสัญญาณหรือ Repeater ซึ่งเชื่อมต่อทางวงจรทางไกลขององค์การโทรศัพท์ฯ ให้มูลนิธิแพทย์อาสาฯ (พอ.สว.) นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือรักษาพยาบาลแก่ผู้เจ็บป่วยในท้องถิ่นห่างไกล<br />ในเรื่องการปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงพระราชทาน ในการปฏิบัติระยะแรกๆ ได้ประสบปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ไม่ทราบล่วงหน้า ซึ่งนักบินผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำแก้ไขโดยฉับพลัน เนื่องจากยังไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ปฏิบัติการด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร กล่าวคือฝนไม่ตกในเป้าหมายบ้าง ตกน้อย หรือไม่ตกตามที่คิดบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสดับตรับฟังข่าวการปฏิบัติการฝนเทียมทุกครั้ง และทรงทราบถึงปัญหาสำคัญคือ การขาดการติดต่อสื่อสารที่ดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งวิทยุให้แก่หน่วยปฏิบัติการฝนเทียม ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดิน<br />นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัย รวมถึงการออกแบบและสร้างสายอากาศย่านความถี่สูงมาก หรือที่เรียกว่า VHF (วี.เอช.เอฟ) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ<br />ประการแรก เพื่อที่จะได้ใช้งานกับวิทยุส่วนพระองค์ ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ที่จะให้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสาธารณภัยที่เกิดขึ้นกับประชาชน เรื่องไฟไหม้ เรื่องน้ำท่วม ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทรงช่วยเหลือได้ทันท่วงที<br />ประการที่สอง เพื่อที่จะพระราชทานให้แก่หน่วยราชการต่างๆ<br />ประการที่สาม เพื่อส่งเสริมให้คนไทยที่มีความรู้ ความสามารถและตั้งใจจริง ได้ใช้ความอุตสาหวิริยะในการพัฒนาระบบวิทยุสื่อสารขึ้นใช้เองภายในประเทศ<br />นอกเหนือจากวิทยุสื่อสารแล้ว ในเรื่องของเทเล็กซ์พระองค์ทรงสนพระทัยอยู่ไม่น้อย และสิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงขาดคือ การพระราชทานพรปีใหม่ นอกจากจะทรงมีกระแสพระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรไทยทางวิทยุและโทรทัศน์ทุกแห่งแล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพรทางเทเล็กซ์สม่ำเสมอทุกปี แต่ในปัจจุบันท่านทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการประดิษฐ์บัตรอวยพรปีใหม่แทน<br />นอกจากนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารว่า การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนิน</span><span style="color:#cc9933;">ธุรกิจทุกประเภท, การสื่อสารเป็นหัวใจของความมั่นคงของประเทศ และการสื่อสารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนอยู่ดีกินดี </span></a></div>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-31755102288895340672007-12-08T23:13:00.000-08:002007-12-09T00:18:04.772-08:00กิจกรรมท้ายบท 1<span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๑.</span> จงบอกความหมายของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาอย่างถูกต้องตอบ เทคโนโลยี หมายถึง การนำเอาขบวนการ วิธีการ และแนวความคิดใหม่ๆมาใช้หรือประยุกต์ใช้อย่างมีระบบเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง ความคิดและวิธีการปฏิบัติใหม่ๆที่ส่งเสริมให้กระบวนการทางการศึกษามีประสิทธิภาพสูงขึ้น</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๒.</span> จงยกตัวอย่างเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาต่างๆมาอย่างน้อย ๕ สาขาตอบ ๑) เทคโนโลยีทางการทหาร๒) เทคโนโลยีทางการแพทย์๓) เทคโนโลยีทางการสื่อสาร๔) เทคโนโลยีทางวิศวกรรม๕) เทคโนโลยีทางการศึกษา</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๓.</span> จงอธิบายเปรียบเทียบความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษาตามทัศนะทางวิทยาศาสตร์กายภาพและทัศนะทางพฤติกรรมศาสตร์ให้ชัดเจนตอบ เทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึง การนำเอาความรู้ แนวคิด กระบวนการ และผลผลิตทางวิทยาศาสตร์มาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพทัศนะทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาม่งไปที่วัสดุ อุปกรณ์หรือผลิตผลทางวิศวกรรมเป็นสำคัญ แต่ไม่รวมวิธีการหรือปฏิสัมพันธ์อื่นๆทัศนะทางพฤติกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีทางการศึกษาที่ม่งไปที่พฤติกรรมของมนุษย์เป็นสำคัญโดยมองว่ามนุษย์มีการเรียนรู้อย่างไร มีความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างไร จะจัดการเรียนการสอนหรือการศึกษาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมต่างๆได้อย่างไร จึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรุ้ได้อย่างประสิทธิภาพ</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๔.</span> จงบอกความหมายของการศึกษาตามความเข้าใจของบุคคลในระดับต่างๆอย่างน้อย ๓ ระดับตอบ การศึกษามีความหมายแตกต่างกันตามความเข้าใจของบุคคล แต่ละระดับดังนี้.-๑) บุคคลธรรมดาสามัญ ตามความหมายพจนานุกรม อธิบายว่า การศึกษาเป็นการเล่าเรียนฝึกฝนและอบรม ( ราชบัญฑิตยสภา,๒๕๒๙ : ๑๐๘ )๒) บุคคลในวิชาชีพทางการศึกษา ความหมายตามพจนานุกรมทางการศึกษาให้ความหมายว่าการศึกษาเป็นศิลปะการถ่ายทอดความรู้จากอดีต ซึ่งจัดรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบเพื่อให้บุคคลรุ่นหลังเข้าใจและนำไปปฏิบัติ (Good, ๑๙๕๙:๑๙๑)๓) บุคคลที่เป็นนักการศึกษา นักการศึกษามีทัศนะเกี่ยวกับการศึกษาแตกต่างกัน จำแนกได้เป็น ๒ ทัศนะ คือ๒.๑ ทัศนะแนวสังคมนิยม การศึกษาแนวสังคมนิยมให้ความสำคัญของส่วนรวมก่อน๒.๒ ทัศนะเสรีนิยม การมุ่งพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้เจริญงอกงามเต็มที่ตามความสามารถที่เขามีอยู่แล้ว</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๕.</span> เทคโนโลยีการศึกษามีกี่ระดับ แต่ละระดับมีความหมายอย่างไร จงอธิบายมาพอเข้าใจตอบ เทคโนโลยีทางการศึกษา แบ่งออกได้ ๓ ระดับ ได้แก่(๑) ระดับอุปกรณ์การสอน เป็นกรใช้เทคโนโลยีในระดับเครื่องช่วยการสอนครู เป็นการเร้าความสนใจของนักเรียน ขยายความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง เป็นการเพิ่มสัมผัสจากการใช้หูฟังครูพูดอย่างเดียวให้มีสัมผัสหลายทาง โดยการใช้ภาพใช้เสียงจริงหรือใช้วัสดุจำลอง การใช้ระดับนี้ต้องควบคู่ไปกับการสอนของครูตลอดเวลาจึงจะได้ผลดี(๒) ระดับวิธีสอน เป็นการใช้เทคโนโลยีแทนการสอนของครูด้วยตัวเอง โดยผู้สอนไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกับผู้เรียนเสมอไป(๓) ระดับการจัดระบบการศึกษา เป็นการใช้เทคโนโลยีการศึกษาระดับกว้าง สามารถจัดระบบการศึกษาตอบสนองผู้เรียนได้จำนวนมาก</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๖</span>. จงอธิบายข้อแตกต่างและความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ชัดเจนตอบ ข้อแตกต่างและความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมเทคโนโลยี๑) การนำเอาขบวนการ วิธีการ และแนวคิดใหม่มาใช้หรือประยุกต์ใช้อย่างมีระบบเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ๒)ในปัจจุบันมีคนนิยมใช้มาก มีการปรับเปลี่ยนบทไปเรื่อยๆจนนิยมใช้จำนวนมากนวัตกรรม๑) เป็นความคิดและการกระทำใหม่ทั้งหมดหรือปรับปรุงดัดแปลงจากที่เคยมีมาก่อนแล้ว๒) ความคิดหรือการกระทำมีการพิสูจน์ด้วยวิจัย น่าเชื่อถือมากขึ้น๓) มีวิธีการอย่างมีระบบ การคิดและการใช้อย่างมีระบบ๔) ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบในปัจจุบัน ทุกคนยังใช้ไม่ทั่วถึงสรุป นวัตกรรม การนำวัสดุใหม่ๆโปรแกรมใหม่ๆ การนำเอามาพัฒนาให้ดีกว่าเดิม เกิดใหม่เป็นนวัตกรรม ถ้าใช้แล้วหายไป เมื่อมีคนนิยมใช้และใช้มากขึ้นปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใช้แล้วถูกใจ คนใช้มากขึ้นปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆใช้แล้วถูกใจคนใช้มากขึ้นก็กลายเป็นเทคโนโลยี</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๗.</span> จงบอกขั้นตอนในการเกิดนวัตกรรมมาให้ถูกต้องตอบ ขั้นตอนการเกิดนวัตกรรมมีดังนี้๑) ขั้นการประดิษฐ์คิดค้น๒) ขั้นการพัฒนาการหรือขั้นการทดลอง๓) ขั้นการนำไปใช้หรือปฏิบัติจริง</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๘</span>. จงบอกบทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษากับการจัดการเรียนการสอนมาอย่างน้อย ๕ ข้อตอบ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา มีความสำคัญและบทบาทต่อการจัดการเขียนการสอนดังนี้๑) ช่วยให้ผู้เรียนได้กว้างขวางมากขึ้น ได้เห็นหรือได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียนและเข้าใจได้สมบรูณ์และยังทำให้ผู้สอนมีเวลาแก่ผู้เรียนมากขึ้น๒) สามารถสนองเร่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนมีอิสระในการแสวงหาความรู้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมมากขึ้น ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถ ตามความสนใจและความต้องการของแต่ละบุคคล๓) ให้การจัดการศึกษาดีขึ้น มีการค้นคว้า ทดลอง ค้นพบวิธีการใหม่ๆ ตามสภาพความเปลี่ยนแปลง๔) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสื่อการสอน ให้มีคุณภาพและสะดวกต่อการใช้มากขึ้น๕) ทำให้การเรียนรู้ไม่เน้นเฉพาะด้านความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เน้นด้านทัศนะหรือเจตคติและทักษะแก่ผู้เรียนด้วย เช่น การเรียนผ่านทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ สไลน์ ชุดการสอน กระบวนกลุ่ม๖) ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของผู้เรียนให้มากขึ้นมากขึ้น เช่น การจัดการศึกษานอกระบบการจัดการศึกษา</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๙.</span> จงยกตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษาในปัจจุบันมาอย่างน้อย ๓ ชนิดตอบ ตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษามีดังนี้๑) การสอนแบบโปรแกรม๒) ศูนย์การเรียน๓) ชุดการเรียนการสอน๔) การเรียนการสอนแบบระบบเปิด๕) การสอนเป็นคณะ๖) บทเรียนสำเร็จรูป ยุคเดิมเป็นเอกสาร ยุคใหม่เป็น cat๗) การจัดโรงเรียนไม่แบ่งชั้น๘) การจัดโรงเรียนในโรงเรียน๙) การเรียนการสอนทางไกล๑๐) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน๑๑) การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอน๑๒) เรียนปนเล่น๑๓) แบบฝึกแบบปฏิบัติเฉพาะคิดหรือเฉพาะวิชา</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๑๐.</span> จงอธิบายถึงสาเหตุของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ทางการศึกษาอย่างน้อย ๓ ข้อตอบ สาเหตุของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ทางการศึกษา มีดังนี้๑) การเพิ่มประชากรการเพิ่มประชากรเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านต่างๆ เช่น การขาดแคลนอาหาร ที่อยู่อาศัย สถานที่เรียน ครู สื่อการสอน ทำให้การจัดการศึกษาเป็นไปไม่ทั่วถึง๒) การเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องจากการเพิ่มประชากร ทำให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ดิ้นรน การแข่งขันสูงขึ้น การศึกษาจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการศึกษาสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้สังคมได้อย่างมีความสุขและก้าวหน้าต่อไป๓) ความก้าวหน้าทางวิทยากรใหม่ๆการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นผลกระทบมาจากเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้พบวิทยาการใหม่ๆหลากหลาย ด้านการศึกษาจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงหลักสูตร เนื้อหา และวิธีการสอน เพื่อให้ทันกับเครื่องมือและวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๑๑.</span> จงอธิบายแนวคิดในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมกับการศึกษาไทยอย่างน้อย ๕ ข้อตอบ แนวคิดในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมกับการศึกษาไทยมีดังนี้๑) การจัดห้องเรียนและระบบการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง๒)การรู้จักทำงานร่วมกันเป็นหมู่ทางการเรียนมักเกิดปัญหา เนื่องจากครูเร่งกรอกความรู้ให้แก่ผู้เรียนอย่างเร่งรีบ๓) การสอนแบบพูดอย่างเดียว ผู้เรียนมีหน้าที่เรียนและฟัง ทำให้ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้ฝึกตนเอง๔) การรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ระบบการศึกษาแบบเดิมมักจะสอนแต่ไม่มีก</span><br /><span style="color:#6633ff;"><span style="color:#ff6666;">๑๒.</span> จงยกตัวอย่างและแนวทางในการแก้ไขของการขาดลักษณะที่พึงประสงค์ของคนไทยอย่างน้อย ๕ ข้อตอบ แนวทางแก้ไขของการขาดลักษณะที่พึงประสงค์ของคนไทย มีดังนี้๑) กล้าและรู้จักแสดงความคิดเห็น๒) สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง๓) รู้จักทำงานร่วมกันเป็นหมวดหมู่อย่างมีประสิทธิภาพ๔) รู้จักแสวงหาความรู้เอง๕) มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคมารฝึกการเป็นพลเมืองดี๕) ส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมในถิ่นของตนเอง ฝักใฝ่และหลงใหลมาอยู่ในกรุงหรือนิยมของต่างประเทศมากกว่าในประเทศ</span>ศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1796999486129476170.post-33959524095339762602007-12-08T22:59:00.000-08:002007-12-09T00:25:55.579-08:00ชุดที่ 2คำถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4<br /><br />จงเติมคำลงในช่องวางต่อไปนี้ให้สมบูรณ์และถูกต้อง<br /><span style="color:#cc66cc;">1. </span>คำว่า Communis แปลว่า คล้ายคลึงหรือร่วมกัน<br /><span style="color:#cc66cc;">2.</span> การสื่อความหมาย หมายถึง กระบวนการส่งหรือถ่ายทอดความรู้ เนื้อหา สาระ ความรู้สึก นึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะ ตลอดจนประสบการณ์จากบุคคลฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ ผู้ส่ง ” ไปยังอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ ผู้รับ ”<br /><span style="color:#cc66cc;">3. </span>Sender --->Message --->Channel---> Receiver<br /><span style="color:#cc66cc;">4.</span> สาร หมายถึง เนื้อหา สาระ ความรู้สึก ทัศนคติ ทักษะ ประสบการณ์ที่มีอยู่ในผู้ส่ง หรือแหล่งกำเนิด<br /><span style="color:#cc66cc;">5.</span> Elements หมายถึง องค์ประกอบย่อย ๆ พื้นฐานที่จำเป็นต้องมี<br />ตัวอย่าง เช่น สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ หรือสีแดง สีเหลือง เส้น เป็นต้น<br /><span style="color:#cc66cc;">6.</span> Structure หมายถึง โครงสร้างที่เกิดจากการนำเอาองค์ประกอบย่อย ๆ มารวมกัน<br />ตัวอย่าง เช่น คำ ประโยค หรือสีสันของรูปร่าง รูปทรง ฯลฯ<br /><span style="color:#cc66cc;">7.</span> Content หมายถึง ข้อมูลที่เป็นความรูสึกนึกคิด ความต้องการของผู้ส่ง<br />ตัวอย่าง เช่น ข้อมูลนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร สอดคล้องเหมาะสมกับอะไร<br /><span style="color:#cc66cc;">8.</span> Treatment หมายถึง วิธีการเลือก การจักรหัสและเนื้อหาให้อยู่ในรูปแบบที่จะสามารถถ่ายทอดความต้องการของผู้รับอย่างมีประสิทธิภาพ<br />ตัวอย่าง เช่น<br /><span style="color:#cc66cc;">9.</span> Code หมายถึง กลุ่มสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาจัดแทนความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ<br />ตัวอย่าง เช่น ภาษาพูด ภาษาดนตรี ภาพวาด กิริยา ท่าทาง<br /><span style="color:#cc66cc;">10.</span> อุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงดังรบกวน อากาศร้อน กลิ่นไม่พึงประสงค์ แสงแดด ฯลฯ<br /><span style="color:#cc66cc;">11.</span> อุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายใน เช่น ความเครียด อารมณ์ขุ่นมัว อาการเจ็บป่วย ความวิตกกังวล<br /><span style="color:#cc66cc;">12.</span> Encode หมายถึง ผู้ส่งสารขาดความสามารถในการเข้ารหัส12. Encode หมายถึง ผู้ส่งสารขาดความสามารถในการเข้ารหัส<br /><span style="color:#cc66cc;">13.</span> Decode หมายถึง ความบกพร่องของสื่อหรือช่องทาง การเลือกใช้สื่อและช่องทางที่ไม่เหมาะสม<br /><span style="color:#cc66cc;">14.</span> จงอธิบายการสื่อความหมายในการเรียนการสอนมาให้ครบถ้วนและถูกต้อง<br />ผู้ส่ง › สาร › ช่องทาง › ผู้รับ<br /><span style="color:#cc66cc;">15.</span> จงอธิบายถึงความล้มเหลวของการสื่อสารในการเรียนการสอน<br />1. ผู้ส่งสารขาดความสามารถในการเข้ารหัส(eneode)หรือแปลความต้องการของตนเป็นสัญลักษณ์หรือสัญญาณต่างๆได้<br />2. ความบกพร่องของสื่อและช่องทาง การเลือกใช้สื่อและช่องทางที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ประสิทธิภาพของการสื่อความหมายลดลงได้<br />3. อุปสรรคจากสิ่งรบกวน<br />4. ผู้รับขาดความสามารถในการถอดรหัสสาร<br />5. อุปสรรคทางด้านสารศิริพร ศรีเอียง (zimm)http://www.blogger.com/profile/04319942524527196069noreply@blogger.com0